หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558

เรื่องกล้วย ๆ ที่ไม่กล้วย นะจ๊ะ






          ด้วยชีวิตในปัจจุบันที่เร่งรีบ อะไรก็รีบไปหมด รีบตื่น รีบกิน รีบเดินทาง อารมณ์ก็พลอยรีบไปด้วย เรียกว่ารีบสาระพัดอย่าง โดยเฉพาะอาหารเช้าที่สำคัญมาก ๆ และหลายคนก็รีบจนลืมหรือแค่ดื่มนม กาแฟ ขนมปัง เรามาดูผลไม้บ้าน ๆ ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองเรามาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก่อนปู่ย่าตายายและคนรุ่นหลังต่างเติบโตมาด้วยผลไม้ชนิดนี้นั้นก็คือ “กล้วยน้ำว้า” และแน่ว่าหลายคนอาจเคยถูกป้อมด้วยกล้วยบด ควบคู่กับข้าว นม ไข่แดงต้มสุก และด้วยรสชาติหวานอร่อย ให้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยต้านโรคภัยไข้เจ็บได้ดี จึงไม่แปลกที่หลายคนยกให้กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้มหัศจรรย์

กล้วยหนึ่งใบมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?


           1. วิตามินบี 1 และบี 2 ซึ่งจะช่วยเร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ป้องกันอาการตัวบวม และฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้า

           2. เกลือแร่ อาทิเช่น โปรเตสเซียม ที่ช่วยในการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ แมกนีเซียม ซึ่งช่วยควบคุมความดันเลือด และการทำงานของแคลเซียม 

           3. เส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในการบรรเทาอาการท้องผูก

           4. ช่วยทำดีท็อกซ์ แป้งในกล้วยดิบมีฤทธิ์ในการขับสารพิษออกจากร่างกาย ส่วนในกล้วยสุกจะช่วยเพิ่มความต้านทานของร่างกาย และป้องกันหวัดได้เป็นอย่างดี

          5. สารโพลีฟินิล มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่

          6. สารยูจินอล ช่วยเร่งการพัฒนาสภาพร่างกาย

          7. เซโรโทนิน ช่วยลดความหงุดหงิด และทำให้ความอยากอาหารลดลง

          8. มีเอ็นไซต์ช่วยในการย่อย ทำให้การย่อย การดูดซึมอาหารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กระเพาะและลำไส้จึงไม่ต้องทำงานหนัก

         9. น้ำตาลในกล้วย เช่น กลูโคส ฟลุกโตส ซูโคส ช่วยเพิ่มสมาธิในการทำงาน พร้อมกับช่วยลดความต้องการในการบริโภคน้ำตาลในแต่ละวันลดลง

         10. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเซลล์ NK ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการจัดการกับมะเร็ง


          เมื่อได้รับทราบถึงประโยชน์มากมายที่ได้จากกล้วยแล้ว ในมื้อต่อไปที่เร่งรีบอย่าลืมติดกล้วยไปทานในรถ หรือติดไม้ติดมือไปเป็นอาหารว่างแทนขนมเค้กยามบ่าย นอกจากจะไม่อ้วนแล้วยังอิ่มท้องอีกด้วย


การเพาะเมล็ดทุเรียนเทศ ง่าย ๆ ไม่ยากเลย

วิธีการเพาะเมล็ดทุเรียนเทศ ดังนี้
           
           เมล็ดทุเรียนน้ำ วัสดุซึ่งสามารถเพาะด้วยขุยมะพร้าวอย่างเดียวได้เลย เพราะเก็บความชื้นไว้ได้นาน จะได้ไม่ต้องรดน้ำบ่อย ๆ หรือจะใช้ดินถุงที่เค้าผสมสำเร็จ ที่มีขายทั่ว ๆ ไป ถุงละ 20 บาท ก็สามารถนำมาปลูกเมล็ดทุเรียนเทศได้เเต่ต้องเป็นดินร่วน หากเป็นดินเหนียวน้ำท่วมขังจะทำให้ดินแน่นเกินไปเมล็ดจะเน่าได้ 
           วิธีการเพาะ ควรจะเเช่เมล็ดทุเรียนเทศไว้ก่อน 1-2 คืน เพื่อให้เมล็ดงอกง่ายขึ้น การเพาะเมล็ดต้นทุเรียนเทศนั้น เราจะเพาะรวม ๆ กันก่อนเเล้วค่อยเเยกลงถุงชำทีหลัง หรือจะเพาะลงถุงชำ 1 เมล็ดต่อ 1 ถุงก็ได้ เเต่ที่สำคัญก็คือ กลบดินบาง ๆ (กลบดินประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร) รดน้ำเเล้ววางไว้ที่ร่มรำไร หากกลบดินหนาเกินไปจะยิ่งทำให้เมล็ดทุเรียนเทศงอกช้าหรือเน่าได้ จากนั้นใช้ระยะเวลาประมาณ 20-30 วัน เราก็จะเริ่มเห็นเมล็ดงอกออกมาให้ได้มีความสุขสมคุ้มค่ากับการรอคอย


















ฟักข้าว ผลไม้ลูกจิ๋วจากสวรรค์ สรรพคุณแจ๋ว ผักพื้นบ้านชั้นเยี่ยมที่ควรรู้จัก








        “ฟักข้าว” เป็นพืชผักพื้นบ้านที่คนในชนบทปลูกไว้ตามรั้ว หรือปลูกรวมกับพืชผักสวนครัวอื่น ๆ เพื่อนำผลอ่อน ยอด ใบอ่อน มาทำอาหาร เช่นแกงส้ม หรือเครื่องเคียงจิ้มนํ้าพริก นำเนื้อเยื่อสีแดงมาหุงกับ ข้าวเหนียวจะได้ข้าวสีส้ม กลิ่นหอมน่ารับประทาน แต่ในช่วงที่ฟักข้าวสุกมากจนรับประทานไม่ทันก็ต้องปล่อยทิ้งให้เน่าเสียน่าเสียดาย เพราะพืชผักชนิดนี้เป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ด้านการป้องกันและรักษาโรค จึงเกิดแนวคิดที่จะเพิ่มมูลค่าฟักข้าวด้วยวิธีภูมิปัญญาชาวบ้านนำมาแปรรูปเป็นขนม เป็นของทานเล่นหรือน้ำสมุนไพรแบบง่าย ๆ แต่ประโยชน์มหาศาลของพืชผักพื้นบ้านที่มีชื่อว่า "ฟักข้าว" หลายคนอาจจะไม่รู้จักหรืออาจจะคุ้น ๆ กับชื่อนี้ แต่อาจจะยังไม่รู้ว่า "ฟักข้าว" มีประโยชน์อย่างไร เรามาดูกันเถอะว่าฟักข้าว คืออะไร?


ฟักข้าว คืออะไร ?
     
           “ฟักข้าว” เป็นพืชไม้เลื้อยอยู่ในวงศ์แตงกวาและมะระ มีชื่อสามัญว่า Spring Bitter Cucumber หรือชื่อที่เรียกกันในท้องถิ่น อย่างจังหวัดปัตตานี เรียกว่า "ขี้กาเครือ" จังหวัดตาก เรียกว่า "ผักข้าว" จังหวัดแพร่ เรียกว่า "มะข้าว" เป็นพืชที่ขึ้นตามรั้วบ้าน หรือตามต้นไม้ต่าง ๆ มีมือเกาะคล้ายกับตำลึง ใบเป็นรูปหัวใจคล้ายใบโพธิ์ ขอบใบหยักเว้าลึกเป็นแฉก 3-5 แฉก ดอกจะมีสีขาวแกมเหลือง ตรงกลางมีสีน้ำตาลแกมม่วง ผลของฟักข้าว 2 ลักษณะ คือ ทรงกลม และทรงรี ผลกลม ๆ จะยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร ส่วนผลรีจะยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร ถ้ายังเป็นผลอ่อนอยู่ ผลจะมีสีเขียวอมเหลือง มีหนามถี่ ๆ อยู่รอบผล ซึ่งผลอ่อนของฟักข้าวที่มีทั้งวิตามินซี แคลเซียม เหล็ก ไฟเบอร์

เมื่อสุกแล้วผลจะมีสีแดง หรือแดงอมส้ม หากผ่าผลฟักข้าวออกดูข้างใน ก็จะเห็นเมล็ดจำนวนมากเรียงตัวกันคล้ายเมล็ดแตง แต่ละผลหนักประมาณ 0.5-2 กิโลกรัม สารอาหารที่พบมากใน "ฟักข้าว" ก็คือ เบต้าแคโรทีนที่มีสูงกว่าแครอทถึง 10 เท่าซึ่งสารตัวนี้เป็นสารตั้งต้นของวิตามิน ซึ่งส่วนช่วยบำรุงสายตาได้อย่างดี และยังทำหน้าที่เสมือนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และไม่ใช่แค่ "เบต้าแคโรทีน" เท่านั้น

จากรายงานการศึกษาของต่างประเทศ ยังพบด้วยว่า ในเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าวสีแดงมีไลโคปีนมากกว่ามะเขือเทศถึง 70 เท่าแต่สำหรับฟักข้าวสายพันธุ์ไทยมีปริมาณไลโคปีนมากกว่ามะเขือเทศเพียง 12 เท่า ซึ่งก็ถือว่ามากแล้ว ทั้งนี้ทางการแพทย์พิสูจน์แล้วว่าไลโคปีนจากเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าวเป็นสารต้านมะเร็ง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร ดังนั้น หากจะบอกว่า ฟักข้าว เป็นอาหารอีกหนึ่งชนิดที่ต้านมะเร็งได้ดีก็คงไม่ผิดนัก


สรรพคุณส่วนต่าง ๆ ของฟักข้าว

            1. ใบ ปรุงเป็นยาเขียว ใช้ถอนพิษ ดับพิษทุกชนิด ตำพอกแก้ปวดหลัง

            2. ยอด มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในปริมาณที่สูง จึงสามารถใช้รักษามะเร็ง

            3. เมล็ด ใช้บำรุงปอด แก้ท่อน้ำดีอุดตัน และแก้วัณโรค

            4. ราก ใช้ต้มดื่มหรือตากแห้ง บดเป็นผงแล้วปั้นขนาด 0.5 กรัม กินครั้งละ 3-5 เมล็ด ก่อนอาหารเช้า-เย็น ขับเสมหะ ดับพิษไข้ แก้เข้าข้อ ปวดตามข้อ ถอนพิษไข้ นอกจากนี้ หากนำส่วนของรากแช่น้ำ แล้วใช้น้ำสระผม จะช่วยแก้ผมร่วง และฆ่าเหาได้



 

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

เปลือกทุเรียน ทำอะไรได้บ้าง






เปลือกทุเรียน

              ในช่วงฤดูทุเรียนออกเช่นนี้ ผ่านแผงผลไม้ครั้งใดจิตใจอ่อนระทวยกับสีเหลือง ๆ หอม ๆ ของทุเรียนเห็นแล้วลืมอ้วน ว่าแล้วก็ติดมือเข้าบ้านแบบลืมตัว รีบแกะทุเรียนใส่กล่องเข้าตู้เย็น สัญญากับตัวเองวันละเม็ด พอจะเอาเปลือกไปทิ้งทำให้คิดเสียดาย เพราะความแพงของราคาลูกทุเรียนจึงพยายามหาประโยชน์จากเปลือกทุเรียน แบบเอาให้ได้ประโยชน์ทั้งลูกสมกับราคา จึงได้คำตอบนั้นก็คือการเอาไปทำเชื้อเพลิง โดยเอาเปลือกไปตากให้แห้งใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนถ่านไม้ หรือเวลาที่กินทุเรียนแล้วเกิดอาการร้อนในก็ให้ลองดื่มน้ำที่รินใส่เปลือกทุเรียนผสมกับเกลือเล็กน้อย อาการก็จะบรรเทาและยิ่งไปกว่านั้นน้ำที่ใส่ในเปลือกทุเรียนหากเอามาล้างมือล้างปากก็สามารถแก้กลิ่นทุเรียนที่ติดอยู่ได้อีกด้วย

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558

ลีลาวดี "ลั่นทม"

ลีลาวดี "ลั่นทม"

         “ลั่นทม” ชื่อใหม่ “ลีลาวดี” ชื่อนี้มีความเป็นมาอย่างไร เพื่อผลประโยชน์อันใดไม่ปรากฎแน่ชัด แต่ที่ผ่านมามีกลุ่มบุคคลแอบอ้าง โดยอ้างว่าชื่อใหม่ของ “ลั่นทม” หรือ “ลีลาวดี” นั้นเป็นชื่อที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานให้เพื่อเป็นสิริมงคล เนื่องจากไม้ชนิดนี้เป็นพรรณไม้มงคล แต่กลับเรียกว่า “ลั่นทม” การแอบอ้างชื่อใหม่ของต้น “ลั่นทม” ในลักษณะเช่นนี้ สร้างความสับสนให้กับสังคมเป็นอย่างมาก เพราะคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจคลาดเคลื่อน และเชื่อว่าเป็นชื่อพระราชทานจริง แม้แต่สื่อมวลชนบางคนยังเชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน การแอบอ้างว่าชื่อ “ลีลาวดี” เป็นชื่อพระราชทานนี้เอง ทำให้ธุรกิจการเพาะพันธุ์ต้น “ลีลาวดี” คึกคักเป็นอย่างมาก เพราะ “ลีลาวดี” เป็นต้นไม้ที่มีความสวยงาม สามารถมาดัดแปลงเป็นไม้ดอก ไม้ประดับ ที่มีดอกหลากหลายสีได้ บางต้นมีดอกถึง 3 สีในต้นเดียวกัน จึงทำให้ทุกวันนี้ คนไทยหันมานิยมปลูกเลี้ยงต้น “ลีลาวดี” บริเวณบ้านกันมากขึ้น ทั้งที่ในอดีตมีความเชื่อว่าต้น “ลั่นทม” ปลูกในบ้านจะทำให้คนในบ้านมีแต่ความระทม เพื่อให้เป็นที่เข้าใจอย่างทั่วถึงและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงมีการชี้แจงว่า “ลีลาวดี” ไม่ใช่ชื่อพระราชทานแต่อย่างใด โดยกองบำรุงรักษาอุทยานสวนจิตรลดา ได้ยืนยันว่า สมเด็จพระเทพรัตราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไม่ได้พระราชทานนาม “ลีลาวดี” และทรงทักท้วงเกี่ยวกับเรื่องนี้มแล้วในหลายโอกาส ฉะนั้นต่อไปนี้ได้โปรดเข้าใจให้ถูกต้องว่าชื่อใหม่ของ “ลั่นทม” ที่เปลี่ยนมาเป็น “ลีลาวดี” นั้นมีคนอื่นตั้งชื่อกันเอง ไม่ใช่ชื่อพระราชทานตามที่เข้าใจกันแต่อย่างใด (อ้างอิงจาก เว็บพรรณไม้)


ประวัติดอกลีลาวดี


               ดอกลีลาวดีเป็นไม้ที่นำมาจากเขมรทางภาคใต้ เรียกว่า “ต้นขอม” “ดอกอม” ส่วนใหญ่ที่ปลูกกันเป็น “ลั่นทมขาว” เล่ากันว่าไม้นี้นำมาปลูกในไทย เมื่อคราวไปตีนครธมจนได้รับชัยชนะ แล้วได้มีการนำต้นไม้ชนิดนี้เข้ามาปลูก และเรียกชื่อเป็นที่ระลึกว่า “ลั่นธม” “ลั่น” แปลว่า ตี เช่น ลั่นฆ้อง ลั่นกลอง “ธม” หมายถึง “นครธม” ภายหลัง “ลั่นธม” เพี้ยนเป็น “ลั่นทม” อย่างไรก็ตามมีผู้มีความรู้ด้านภาษาไทยกล่าวถึงคำว่า ลั่นทม ว่า การละแล้วซึ่งความโศกเศร้าแล้วมีความสุข เพราะคำว่าลั่น มีความหมายว่า แตกหัก ละทิ้ง ส่วนคำว่าทม ก็หมายถึงความทุกข์โศก ดอกลั่นทมยังเป็นดอกไม้ประจำชาติของประเทศลาว และพบได้มากบริเวณทางขึ้นพระธาตุที่เมืองหลวงพระบาง สำหรับประเทศไทยจะพบมากที่ภาคเหนือ ซึ่งลีลาวดีนั้นมีหลากหลายสายพันธุ์และมีความสวยงามแตกต่างกัน แต่พันธุ์ที่ได้รับความนิยมจากประชาชนมากเป็นพิเศษนั้นก็คือ พันธุ์ขาวพวง

สรรพคุณทางยา

- ต้น ใช้ปรุงยารักษาโรคลำไส้พิการของม้า

- ใบ ใบแห้งชงน้ำร้อนดื่มรักษาโรคหนองใน ยาถ่าย แก้โรคไขข้ออักเสบ ขับลม

- เปลือกต้น ต้มเป็นยาถ่าย ขับระดู แก้ไข้ แก้โรคโกโนเรีย หรือผสมกับน้ำมันมะพร้าว-ข้าว-มันเนย เป็นยาแก้ท้องเดินยาถ่าย ขับปัสสาวะ

- ดอก ใช้ทำธูป ใช้ผสมกับพลูเป็นยาแก้ไอ แก้ไข้มาราเลีย

- เนื้อไม้ เป็นยาแก้ไอ ยาถ่าย ขับพยาธิ

- ยางจากต้น เป็นยาถ่าย รักษาโรคไขข้ออักเสบ ใช้ผสมกับไม้จันทน์และการบูรเป็นยาแก้คัน แก้ปวดฟัน

พันธุ์ขาวพวง - เป็นลีลาวดีโบราณดั้งเดิมในประเทศไทย 

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

ทุเรียนเทศ

ทุเรียนน้ำหรือทุเรียนเทศ ยอดสมุนไพรพิชิตมะเร็ง



           กลายเป็นข่าวฮือฮา สำหรับสุดยอดสมุนไพรพิฆาตมะเร็ง ขจัดโรคร้ายด้วยพลังของธรรมชาติ ที่ล่าสุดได้มีผลไม้ชนิดหนึ่งที่ว่ากันว่า สามารถขจัดโรคมะเร็งได้ชะงัด แถมยังออกฤทธิ์ดีกว่าการเข้ารับการรักษาด้วยเคมีบำบัดถึง 10,000 เท่า โดยไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง ทั้งยังไม่สร้างความเสียหายต่อเซลล์สวนอื่น ๆ ในร่างกายด้วย ผลไม้ชนิดนี้ก็คือ ทุเรียนน้ำหรือทุเรียนเทศ นั่นเอง

          
 สำหรับทุเรียนน้ำ (Guyabano หรือ Sour Sop) เป็นผลไม้ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายนักในบ้านเรา มีชื่อเรียกหลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็น ทุเรียนเทศ ทุเรียนแขก หรือหมากเขียบหลด โดยทุเรียนน้ำเป็นผลไม้แถบร้อน มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาใต้ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบได้มากทางตอนใต้ของประเทศไทย ในมาเลเซียและสิงคโปร์ และในแถบรัฐปีนังของมาเลเซียก็จะพบว่ามีการนำทุเรียนน้ำมาแปรรูปเป็นน้ำทุเรียนเข้มข้นซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากด้วย

           และในการปลูกทุเรียนน้ำก็สามารถทำได้ไม่ยาก เพราะทุเรียนน้ำนั้นใช้วิธีขยายพันธุ์โดยเมล็ด ซึ่งเพียงแค่นำเมล็ดมาแช่น้ำทิ้งไว้ 1-2 วัน ก่อนนำไปเพาะเลี้ยงในดินผสมปกติ ต้นทุเรียนน้ำก็จะงอกขึ้นมาได้ภายใน วัน แต่ต้นกล้าจะโตช้าและออกดอกเมื่อมีอายุไม่ต่ำกว่า ปี ก่อนจะให้ผลได้ในปีที่ ได้ผลผลิตประมาณปีละ 1.5 - 2 ตันต่อไร่ หรือจะใช้วิธีขยายพันธุ์แบบเสียบยอดและทาบกิ่งก็ได้ โดยต้นทุเรียนน้ำเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนที่มีความชุ่มชื้น ระบายน้ำได้ดี ในประเทศไทยคนมักนิยมปลูกไว้เป็นไม้ประดับในบ้าน
 

ทุเรียนน้ำ ทุเรียนเทศ สรรพคุณมีอะไรบ้าง 

           ตั้งแต่สมัยโบราณ ทุเรียนน้ำเป็นสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคในแถบแอฟริกาใต้ โดยสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนตั้งแต่ราก ต้น เมล็ด ใบ ดอก ผล และเมล็ด ดังนี้

          
   ผล - แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน แก้โรคบิด กระตุ้นการผลิตน้ำนมแม่

          
  เมล็ด - ใช้สมานแผลห้ามเลือด ใช้ฆ่าแมลง

          
  ใบ - นำมาขยี้ผสมกับปูนใช้ทาบริเวณท้องแก้ท้องอืด ใช้รักษาโรคผิวหนัง เมื่อนำมาปูรองให้คนที่เป็นไข้นอนจะช่วยลดไข้ แก้ไอ ปวดตามข้อ ลดอาการปวด ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเรียบในลำไส้ ขยายหลอดเลือดป้องกันความดันสูง กำจัดเซลล์มะเร็ง ฆ่าเชื้อโรค ลดเบาหวาน

          
  หน่ออ่อน - กำจัดเซลล์มะเร็ง

          
  ดอก - บำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ

          
  ราก  -กำจัดแมลง

          
  เปลือกไม้ - กำจัดแมลง ฆ่าเชื้อโรค พยาธิ อะมีบา แบคทีเรีย และรักษาโรคกระเพาะ


ทุเรียนน้ำ ทุเรียนเทศ รักษามะเร็งได้หรือไม่
 

          
 แม้ว่าจะมีสรรพคุณมากมาย แต่สรรพคุณที่โด่งเด่นและดังที่สุดของทุเรียนน้ำ คือ ความสามารถในการรักษาโรคมะเร็ง ฆ่าเซลล์มะเร็งอย่างได้ผลและไม่เป็นอันตราย โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสาร แอนโนนาเชียส เอคโทจีเนียส (Annonaceous acetogenins) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในทุเรียนน้ำและสามารถต้านทำลายเซลล์มะเร็งทุกชนิด รวมไปถึงการฆ่าแบคทีเรียและเชื้อราอย่างได้ผลชะงัด

           อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็ได้มีผลการรับรองจากห้องทดลองหลายแห่งรวมทั้งสถาบันมะเร็งแห่งชาติในสหรัฐอเมริกา ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ทุเรียนน้ำนั้นสามารถช่วยในการฆ่าเซลล์มะเร็งได้ถึง 12 ชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งมหาวิทยาลัยคาทอลิกในเกาหลีใต้ได้ยืนยันว่า ฤทธิ์ของทุเรียนน้ำในการฆ่าเซลล์มะเร็งนั้นมีฤทธิ์มาก กว่าการทำเคมีบำบัดถึง 10,000 เท่า โดยไม่ส่งผลร้ายต่อเซลล์เนื้อเยื่อดีอื่น ๆ ในร่างกายของคนไข้ และในรายที่เกิดอาการดื้อยามะเร็ง ก็ยังส่ามารถใช้สารสกัดจากมะเร็งน้ำมาช่วยให้คนไข้หายจากการอาการดื้อยาได้อีกด้วย

           โดยสถาบันผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐอเมริกาได้ชี้ให้เห็นความสามารถของสารสกัดจากทุเรียนน้ำ ดังนี้

          
  โจมตีเซลล์มะเร็งได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาเพราะเป็นผลผลิตตามธรรมชาติทั้งหมด ไม่ก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรง สูญเสียน้ำหนักและเส้นผมหลุดร่วง เหมือนการทำเคมีบำบัด

          
  ป้องกันระบบภูมิคุ้มกันและหลีกเลี่ยงการติดเชื้อร้ายแรง

          
  รู้สึกถึงความแข็งแรงและมีสุขภาพดีมากขึ้น ตลอดช่วงเวลาของการรักษา

          
  เพิ่มพลังงานชีวิตและปรับปรุงสภาพร่างกายภายนอกของคนไข้

วิธีใช้ทุเรียนน้ำ ทุเรียนเทศ รักษามะเร็ง

           สำหรับการใช้ทุเรียนน้ำเพื่อรักษามะเร็งให้ได้ผลนั้น
 ให้นำใบทุเรียนน้ำตามธรรมชาติ สด ๆ มารับประทาน โดยคัดเลือกใบที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่แก่หรือมีสีเขียวเข้มมากเกินไป หรือการนำใบแห้งจากกระบวนการอบแห้งด้วยการเป่าลมร้อน (Air Dry) มาชงเป็นชาดื่ม โดยมีวิธีในการชงชาจากใบทุเรียนน้ำ ดังนี้

          
  ฉีกใบแห้งเป็นชิ้นเล็ก ๆ และตวงให้ได้ ถ้วยตวงต่อน้ำ ลิตร 

          
  นำใบทุเรียนเทศไปต้มกับน้ำ และลดไฟให้ต่ำ เคี่ยวอีก 20 นาที 

          
  ใช้ดื่ม ถ้วยต่อวัน 30 นาทีก่อนมื้ออาหาร

           โดยให้ดื่มน้ำชาแบบนี้ทุกวันเป็นระยะเวลา 30 วัน เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย หากดื่มติดต่อกันมานานเกิน 30 วันแล้ว แต่ร่างกายยังไม่ดีขึ้น ให้พักก่อนสัก สัปดาห์จึงค่อยดื่มชาต่อ

ข้อควรระวังในการรับประทานทุเรียนน้ำ ทุเรียนเทศ

          
  1. มีงานวิจัยในแถบทะเลแคริบเบียนที่แสดงให้เห็นว่า ในผล เมล็ด และราก ของทุเรียนน้ำ มีสารแอนโนนาซิน (Annonacin)  ซึ่งมีความเชื่อมโยงสูงต่อการเกิดโรคพาร์คินสัน และมีสารอัลคาลอยด์ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการทรับประทานผล ราก หรือน้ำผลไม้ที่ทำจากทุเรียนน้ำมากจนเกินไป หรือรับประทานติดต่อกันทุกวัน

          
  2. จากการทดลองพบว่า สารสำคัญในทุเรียนเทศนั้นจะไม่สามารถสกัดหรือสังเคราะห์ออกมาได้ ดังนั้นหากต้องการได้รับสารดังกล่าว จะต้องบริโภคแบบธรรมชาติเท่านั้น การทานในรูปแบบของยาอัดเม็ดหรือผลบรรจุแคปซูลนั้นจะไม่ได้ผลประโยชน์ใด ๆ เลยทั้งสิ้น

          
  3. การทานทุเรียนน้ำให้ได้ประโยชน์นั้น ควรจะต้องรับประทานแบบธรรมชาติ หรือรับประทานสด ๆ เท่านั้น ควรเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากทุเรียนน้ำที่ผ่านกระบวนการต่าง ๆ มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำผลไม้กระป๋อง หรือใบชาบดผ่านกระดาษกรอง เพราะกระบวนการในการผลิตเหล่านั้นล้วนแต่ทำให้ประสิทธิภาพของทุเรียนน้ำลดลง

          
  4. การรักษามะเร็งให้ได้ผลจะต้องนำใบ หน่อ และกิ่ง ของต้นทุเรียนน้ำ มาต้มทำเป็นชา ขณะที่การนำผลของทุเรียนน้ำมาต้มเป็นชานั้นไม่ได้ให้ผลใด ๆ ในการรักษามะเร็ง เนื่องจากมีสารที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเซลล์มะเร็งอยู่น้อย 

          
 สำหรับสุดยอดสมุนไพรพิฆาตมะเร็ง อีกหนึ่งทางเลือกจากธรรมชาติ ที่นอกจากจะนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังสามารถนำได้ใช้ประโยชน์ในการรักษาโรคอื่น ๆ รวมทั้งบำรุงร่างกายได้สารพัด แต่ขอย้ำอีกครั้งนะคะว่าการรับประทานทุเรียนน้ำให้ได้ผลจริง ๆ นั้นจะต้องทานทุเรียนน้ำจากธรรมชาติเท่านั้น เพราะการทานทุเรียนน้ำในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่าง ๆ นั้น นอกจากจะบันทอนสรรพคุณของทุเรียนน้ำแล้ว เราอาจจะไม่ได้รับสารอันเป็นประโยชน์ใด ๆ จากทุเรียนน้ำเลย

มะม่วงกะล่อน(มะม่วงโบราณ)


มะม่วงกะร่อน

มะม่วงกะร่อน ชื่ออื่น ม่วงเทียน มะม่วงป่า มะม่วงขี้ไต มะม่วงเทพรส

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ต้นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 15-30 เมตร โตวัดรอบลำต้น 100-300 ซม. ลำต้นตรง กิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มกลมทึบ ตามกิ่งอ่อนเกลี้ยงมีต่อมระบายอากาศประปราย เปลือกสีน้ำตาลปนเทา เรียบหรือแตกเป็นร่องเล็กๆ ไปตามยาวลำต้น ใบ รูปขอบขนาน ขนาดใบกว้าง 3.5-8 ซม. ยาว 14.5-22 ซม. โคนใบมนแคบๆ ปลายใบเรียวหรือเป็นติ่งสั้นๆ เนื้อใบหนาเกลี้ยงเป็นมัน เส้นแขนงใบมี 15-22 คู่ เส้นโค้งและมักเชื่อมต่อกันตอนใกล้ๆ ขอบใบ เส้นร่างแหละเอียดและเห็นชัดทั้งสองด้าน ก้านใบเป็นร่องทางด้านบน โคนก้านบวม ดอก สีขาวแกมเหลืองอ่อน ออกเป็นช่อตามปลายกิ่งและง่ามใบ แต่ละช่อยาวประมาณ 25 ซม. ตามก้านช่อมีขนสากทั่วไป กลีบรองกลีบและกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ โคนกลีบดอกมีเส้นกลีบ 3 เส้น เกสรตัวผู้มี 5 อัน ไม่มีเกสรตัวผู้ปลอม เกสรตัวผู้มีขนาดสั้นยาวไม่เท่ากัน ผล รูปมนหรือป้อม ผลแก่สีเหลืองแกมเขียว ขนาดกว้าง 3-4.5 ซม. ยาว 4-7 ซม. เนื้อเยื่อบางๆ รสหวาน กลิ่นหอม เมล็ดใหญ่

วิธีกินก็ต้องเรียนรู้

หากจะปอกเปลือก ก็จะเสียเวลา ไม่ทันใจ ..นำมะม่วงกะล่อนสุกล้างน้ำ ล้างยางให้สะอาด เริ่มเลยคะ
ปาดหัวออกเพื่อทำการบีบเม็ดข้างในออกมา แต่ต้องค่อย ๆ บีบนะคะ (แรงไปจะกระเด็นจนอดกินของอร่อย)จากนั้นเอาข้างเหนียวมายัดแทนเมล็ดที่บีบออกมาแล้วก็บี้ ๆ ขยำ ๆ (เพราะกะร่อนจะมีส่วนเนื้อที่ติดกับเปลือกอร่อยที่สุด) และถ้าชอบกะทิก็หยอดอีกนิด รับรอง ! คุณจะหลงเสน่ห์มะม่วงกะร่อนนี้ไปอีก
นาน










วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2558

มะปราง มะยงชิด(ไข่ไก่)



มะปราง

มะปราง ภาษาอังกฤษ Marian Plum, Plum Mango มะปราง ชื่อวิทยาศาสตร์ Bouea macrophylla Griffith จัดอยู่ในวงศ์ANACARDIACEAE ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับ มะกอก มะม่วง ฯลฯ มะปราง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า บักปราง (ภาคอีสาน), มะผาง (ภาคเหนือ), ปราง (ภาคใต้) เป็นต้น

ลักษณะของมะปราง

• ต้นมะปราง มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย ลาว พม่า และมาเลเซีย จัดเป็นไม้ผลที่มีทรงของต้นค่อนข้างแหลมถึงทรงกระบอก มีรากแก้วที่แข็งแรง มีกิ่งก้านสาขาค่อนข้างทึบ ลำต้นสูงประมาณ 15-30 เมตร ลักษณะของใบมะปราง จะคล้ายใบมะม่วงแต่มีขนาดเล็กกว่า และใบเป็นใบเรียวยาว มีสีเขียว ขอบใบเรียบแผ่นใบเหนียว มีเส้นใบเห็นเด่นชัด ใบอ่อนมีสีม่วงแดง ยาวประมาณ 14 เซนติเมตร กว้างประมาณ 3.5 เซนติเมตร ส่วนดอกมะปราง จะออกดอกเป็นช่อ ออกบริเวณปลายกิ่งแขนง ดอกเมื่อบานจะมีสีเหลือง เป็นดอกสมบูรณ์เพศ และช่อดอกจะยาวประมาณ 8-15 เซนติเมตร

• ผลมะปราง มีลักษณะคล้ายรูปไข่และกลม ปลายเรียวแหลม โดยมะปราง 1 ช่อ จะมีผลอยู่ประมาณ 1-15 ผล ผลดิบของมะปรางจะมีสีเขียวอ่อนถึงเข้ม ส่วนผลสุกจะมีสีเหลืองถึงเหลืองอมส้มและลักษณะของเปลือกจะนิ่ม เนื้อด้านในสีเหลืองแดงส้มออกแดงขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ มะปรางมีรสชาติหวานหรือหวานอมเปรี้ยว หรือเปรี้ยวจัด ในผลจะมีเมล็ด 1 เมล็ดลักษณะคล้ายกับเมล็ดมะม่วง ในพืชตระกูลมะปราง ปัจจุบันสามารถแบ่งออกเป็น มะปรางหวาน, มะปรางเปรี้ยว, มะยงชิด, มะยงห่าง, กาวาง

• มะปรางหวาน ผลดิบและผลสุกจะมีรสชาติหวานสนิท ผลมีขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ความหานก็จะแตกต่างกันออกไป จะหวานมากหรือน้อยเท่านั้น แต่เมื่อรับประทานแล้วอาจไอไอระคายคอหรือคันคอได้ถ้าหวานสนิท

• มะปรางเปรี้ยว จะมีรสเปรี้ยวทั้งผลดิบและผลสุก ขนาดก็ทั้งผลเล็กและผลใหญ่ มะปรางเปรี้ยว จะเหมาะสำหรับการนำไปแปรรูปมากกว่าที่จะรับประทานสดๆ เช่น มะปรางดอง มะปรางแช่อิ่ม น้ำมะปราง ฯลฯ

• มะยงชิด เป็นมะปรางที่มีรสหวานอมเปรี้ยว หรือมีรสหวานและเปรี้ยวอยู่ในผลเดียวกัน ขนาดก็มีทั้งผลเล็กและผลใหญ่ โดยมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5-7 เซนติเมตร มะยงชิดจะมีรสชาติหวานมากกว่าเปรี้ยว ผลดิบจะมีรสมัน ส่วนผลสุกจึงจะออกหวาน ลักษณะของเนื้อค่อนข้างแข็ง มีเปลือกหนา (แต่ถ้ารสเปรี้ยวมากกว่าหวาน เราจะเรียกว่า “มะยงห่าง”)

• มะยงห่าง ลักษณะภายนอกจะคล้ายกับมะยงชิดมาก แต่ที่ต่างกันก็คือรสชาติ โดยมะยงห่างจะมีรสเปรี้ยวมากและมีรสหวานอยู่บ้างเล็กน้อย แต่มะยงห่างจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมปลูกเพื่อการค้าสักเท่าไหร่

• กาวาง ลักษณะภายนอกจะคล้ายมะยงชิดและมะยงห่าง แต่ที่แตกต่างออกไปก็คือจะมีรสเปรี้ยวใกล้เคียงกับมะดัน โดยที่มาของชื่อกาวางนั้นมีเรื่องเล่าว่า มีนกกาที่หิวโซ บินมาเห็นผลไม้ชนิดนี้มีสีเหลืองสวยงาม แต่เมื่อลองจิกกินเพื่อลิ้มรสชาติก็ต้องรีบวางแล้วบินหนีไปทันที จึงเป็นที่มาของชื่อ “กาวาง”

มะยงชิด กับ มะปราง ต่างกันอย่างไร 

• มะปรางโดยรวมแล้วขนาดของผลจะเล็กกว่ามะยงชิด

• มะปรางบางสายพันธุ์รับประทานแล้วอาจคันหรือระคายคอ แต่มะยงชิดเมื่อรับประทานแล้วจะไม่มีอาการดังกล่าว

• มะปรางผลดิบจะมีสีเขียวออกซีด แต่มะยงชิดผลดิบจะมีสีเขียวจัดกว่ามะปราง

• มะปรางผลสุกมีสีเหลืองอ่อน แต่มะยงชิดจะมีสีเหลืองแกมส้ม

• มะปรางผลดิบมีรสมัน แต่มะยงชิดผลดิบรสจะเปรี้ยวจัด

• มะปรางผลสุกมีรสหวานมาก แต่มะยงชิดผลสุกจะมีรสหวานอมเปรี้ยว advertisements 

ประโยชน์ของมะปราง 

1. มะปรางเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีและเบต้าแคโรทีนสูง

2. ประโยชน์มะปรางช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย

3. ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มะเร็ง เบาหวาน ความดัน เป็นต้น

4. มะปรางมีวิตามินสูงจึงช่วยบำรุงและรักษาสายตาได้เป็นอย่างดี

5. มะปรางมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสจึงช่วยบำรุงกระดูกและฟัน

6. ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน

7. มะปราง สรรพคุณช่วยฟอกโลหิต

8. สรรพคุณของมะปราง ช่วยแก้เสลดทางวัว

9. สรรพคุณมะปราง ช่วยแก้น้ำลายเหนียว

10. รากมะปราง ช่วยแก้อาการไข้กลับ ถอนพิษสำแดง

11. ใบมะปราง ใช้ทำเป็นยาพอกแก้อาการปวดศีรษะ

12. น้ำจากต้นใช้เป็นยาอมกลั้วคอ

13. ผลสุกมะปราง ใช้รับประทานเป็นผลไม้ หรือใช้ทำน้ำผลไม้ ทำแยม นำไปกวน ส่วนผลดิบใช้จิ้มน้ำปลาวาน กะปิหวาน หรือนำไปใช้ดองและแช่อิ่ม

14. มะปรางเป็นผลไม้ที่เหมาะกับคนธาตุดิน หรือผู้ที่เกิดในราศีพฤษภ ราศีกันย์ ราศีมังกร และผู้เกิดตามธาตุนี้ มักจะเสี่ยงกับโรคความอ้วน ความดัน เบาหวาน โรคทางเดินหายใจ ซึ่งมะปรางถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณ

คุณค่าทางโภชนาการของมะปราง ต่อ 100 กรัม

• พลังงาน 47 กิโลแคลอรี่

• โปรตีน 0.4 กรัม

• เส้นใย 1.5 กรัม

• คาร์โบไฮเดรต 11.3 กรัม

• เบต้าแคโรทีน 230 ไมโครกรีม

• วิตามินบี1 0.11 มิลลิกรัม

• วิตามินบี2 0.05 มิลลิกรัม

• วิตามินบี3 0.5 มิลลิกรัม

• วิตามินซี 100 มิลลิกรัม

• ธาตุแคลเซียม 9 มิลลิกรัม

• ธาตุฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม

• ธาตุเหล็ก 0.3 มิลลิกรัม

วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

มาสิมา ใคร LOVE น้องหมาบ้าง ขอไลย์หน่อย จุ๊บๆ รักตัวเองนะเด็กน้อย






อะโวคาโด่


อะโวคาโด

อะโวคาโด, อาโวคาโด, อาโวกาโด, อโวคาโด้ (Avocado) หรือ ลูกเนย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Persea americana Mill เป็นต้นไม้พื้นเมืองของเม็ดซิโกในรัฐปวยบลา จัดอยู่ในวงศ์เดียวกันกับ กระวาน, อบเชย, เบย์ลอเรล สำหรับประเทศไทยมีการนำมาปลูกครั้งแรกที่จังหวัดน่าน ก่อนจะแพร่ขยายไปทั่วประเทศ   โดยอะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีเนื้อมันเป็นเนย โดยลักษณะของผลจะมีรูปร่างคล้ายสาลี่ หรือรูปไข่จนถึงรูปกลม อะโวคาโด เป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานกันมากในแถบยุโรปและอเมริกา เพราะมีสารอาหารวิตามินและแร่ธาตุที่หลากหลายที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก แต่สำหรับบางคนแล้วกลับไม่ชอบเอารับประทานอะโวคาโดเอาเสียเลย เพราะเป็นผลไม้ที่ไม่มีรสหวานและมีไขมันสูง ผลไม้ชนิดนี้จึงถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย

แม้ว่าผลอะโวคาโดน้ำหนัก 100 กรัม (ประมาณครึ่งผล) จะมีไขมันสูงถึง 14.66 กรัม !! (ถ้าเทียบกับผลไม้ชนิดอื่นจะมีไขมันน้อยมากหรือไม่มีไขมันเลย) แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการรับประทานอะโวคาโดไม่ได้ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เมื่อเทียบกับการรับประทานไขมันอื่นในปริมาณเท่ากัน แถมการรับประทาน อะโวคาโดยังช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วยและไม่ทำให้อ้วน แถมยังช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย !

อะโวคาโดกินอย่างไร

วิธีกินอะโวคาโดไม่นิยมรับประทานผลดิบเนื่องจากมีรสขม แต่นิยมรับประทานแบบสุก ด้วยการปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นสีเหลี่ยมลูกเต๋าใส่น้ำกะทิ หรือจะผ่าตามยาวแล้วเอาเมล็ดออกแล้วราดด้วยน้ำผึ้งแล้วรับประทานก็ได้ โทษของอะโวคาโด ผลดิบไม่สามารถรับประทานได้ เพราะมีสารแทนนินในปริมาณมากและมีรสขม หากรับประทานในปริมาณมากอาจจะทำให้ปวดศีรษะได้ ดังนั้นควรรับประทานแต่ผลสุก สำหรับบางรายอาจมีอาการแพ้อะโวคาโดได้ โดยอาจจะแพ้ในรูปของละอองเกสร หรือแพ้หลังจากการรับประทานอะโวคาโดได้ โดยอาการที่ปรากฏ ได้แก่ ปวดท้อง อาเจียน ผื่นคัน ลมพิษ หรือาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ คุณค่าทางโภชนาการของอะโวคาโดดิบต่อ 100 กรัม ประโยชน์ของอะโวคาโด พลังงาน 160 กิโลแคลอรี คาร์โบไฮเดรต 8.53 กรัม น้ำตาล 0.66 กรัม เส้นใย 6.7 กรัม ไขมัน 14.66 กรัม กรดไขมันอิ่มตัว 2.13 กรัม กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 9.8 กรัม กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 1.82 กรัม โปรตีน 2 กรัม น้ำ 73.23 กรัม วิตามินเอ 7 ไมโครกรัม 1% เบต้าแคโนทีน 42 ไมโครกรัม 1% ลูทีน และ ซีแซนทีน 271 ไมโครกรัม วิตามินบี1 0.067 มิลลิกรัม 6% วิตามินบี2 0.13 มิลลิกรัม 11% วิตามินบี3 1.738 มิลลิกรัม 12% วิตามินบี5 1.389 มิลลิกรัม 28% วิตามินบี6 0.257 มิลลิกรัม 20% วิตามินบี9 81 ไมโครกรัม 20% วิตามินซี 10 มิลลิกรัม 12% วิตามินอี 2.07 มิลลิกรัม 14% วิตามินเค 21 ไมโครกรัม 20% ธาตุแคลเซียม 12 มิลลิกรัม 1% ธาตุเหล็ก 0.55 มิลลิกรัม 4% ธาตุแมกนีเซียม 29 มิลลิกรัม 8% ธาตุแมงกานีส 0.142 มิลลิกรัม 7% ธาตุฟอสฟอรัส 52 มิลลิกรัม 7% ธาตุโพแทสเซียม 485 มิลลิกรัม 10% ธาตุโซเดียม 7 มิลลิกรัม 0% ธาตุสังกะสี 0.64 มิลลิกรัม 7% ธาตุฟลูออไรด์ % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database) 

ประโยชน์ของอะโวคาโด

อะโวคาโด มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวช่วยปกป้องเซลล์ต่างๆภายในร่างกายไม่ให้ถูกทำลาย ประโยชน์ของอโวคาโด

อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่สามารถช่วยลดริ้วรอยแห่งวัยได้ดีกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ จึงช่วยคงความอ่อนเยาว์ได้เป็นอย่างดี ช่วยบำรุงและรักษาสายตาได้

อะโวคาโด ลดน้ำหนัก การรับประทานอะโวคาโดสามารถช่วยลดน้ำหนักตัว และลดระดับไขมันชนิดเลว (LDL) ลงได้อย่างชัดเจน

อะโวคาโดเป็นแหล่งของกรดไขมันชนิดดี (HDL) ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก เพราะมีคุณสมบัติในการช่วยลดไขมันเลวในหลอดเลือดได้ จึงช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในเส้นเลือด ช่วยลดโอกาสเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ และโรคหัวใจวาย ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้

สรรพคุณอะโวคาโด

1.ในผลอะโวคาโดมีวิตามินซีซึ่งช่วยป้องกันหวัดได้
2.ช่วยป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน 
3.ช่วยป้องกันการเกิดโคปากนกกระจอกเทศ อะโวคาโดมีโปรตีนสูงกว่าผลไม้ชนิดอื่น เป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย มีเส้นใยอาหารสูงจึงช่วยในการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี ไขมันในอะโวคาโดสามารถช่วยดูดซึมสารแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ซึ่งเป็นตัวช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระอันทรงพลังได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นไลโคฟีน เบต้าแคโรทีน หรือลูทีนในผักผลไม้ต่างๆ

ประโยชน์อะโวคาโด

การรับประทานอะโวคาโดเป็นประจำจะช่วยป้องกันและลดความถี่ของการเกิดโรคเหน็บชาได้ อะโวคาโดมีประโยชน์อย่างมาก ซึ่งเหมาะให้ลูกน้อยรับประทานเป็นอาหารเสริมเดิม แม้ว่าจะมีแคลอรีสูงแต่ก็อุดมไปด้วย DHA และไขมันดี (HDL) ในปริมาณที่สูงเช่นกัน 

อะโวคาโดมีโฟเลตสูงซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญสำหรับหญิงตั้งครรภ์อย่างมาก เพราะจำเป็นสำหรับทารกในครรภ์ น้ำมันอะโวคาโด เป็นน้ำมันที่ดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดีที่สุดหากเทียบกับน้ำมันอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด อัลมอนด์ หรือแม้กระทั่งน้ำมันมะกอก

น้ำมันอะโวคาโดสามารถนำมาใช้นวดศีรษะเพื่อช่วยเร่งการงอกของเส้นผมได้

อะโวคาโดมากประโยชน์ นิยมรับประทานเป็นผลไม้สด หรือรับประทานร่วมกับไอศกรีม นมข้นหวาน น้ำตาล เค้ก สลัด ฯลฯ เนื้อของอะโวคาโดสามารถนำมาปรุงอาหารแทนเนยได้ ประโยชน์ของอโวคาโด สามารถนำมาสกัดน้ำมันทำเป็นเครื่องสำอางได้

ประโยชน์อาโวคาโดสดสามารถใช้บำรุงผิวพรรณและเส้นผมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีผิวแห้ง ซึ่งจะช่วยทำให้คุณมีผิวพรรณที่ชุ่มชื้นเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวาได้

วิธีทำน้ำอะโวคาโด

การทำน้ำอะโวคาโดอย่างแรกให้เราเตรียมวัตถุดิบดังนี้ ผลอะโวคาโดหั่นเป็นชิ้นเล็ก 1 ถ้วย / มะเขือเทศล้างสะอาด 1 ผล / น้ำมะนาว 1 ช้อนชา / น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา / น้ำเปล่า / น้ำแข็ง / เกลือป่น 1/4 ช้อนชา นำผลอะโวคาโดที่หั่นเตรียมไว้ ใส่ลงไปในเครื่องสกัดแยกกากออก ให้เหลือแต่น้ำอะโวคาโด นำมะเขือเทศที่เตรียมไว้ใส่ลงในเครื่องสกัดแยกกากออก ให้เหลือแต่น้ำมะเขือเทศ หลังจากนั้นให้นำน้ำอะโวคาโด น้ำมะเขือเทศที่ได้มาและน้ำมะนาว น้ำผึ้ง เกลือป่น น้ำเปล่าเล็กน้อย คนจนละลายเข้ากัน นำใส่แก้วและน้ำแข็งดื่มแก้กระหายได้เลย

สูตรมาส์กหน้าอะโวคาโด

สูตรคลีนเซอร์ทำความสะอาดผิวหน้า ให้เตรียมวัตถุดิบดังนี้ เนื้ออะโวคาโดบดละเอียด ครึ่งลูก / ไข่แดง 1 ฟอง / นม ครึ่ง ถ้วย นำไข่แดงมาตีจนเข้ากันแล้วเติมนมและตามด้วยเนื้ออะโวคาโดที่เตรียมไว้ตามลำดับ แล้วตีส่วนผสมให้เข้ากันจนกลายเป็นเนื้อครีมคล้ายโลชั่น หลังจากนั้นให้ใช้สำลีแผ่นชุมครีมแล้วนำมาเช็ดหน้าให้ทั่วเหมือนคลีนเซอร์ทั่วๆไป คุณสามารถใช้สูตรนี้หลังการล้างหน้าแบบปกติที่ทำอยู่ ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวหน้าปราศจากสิ่งสกปรกตกค้างได้เป็นอย่างดี

สูตรผิวที่เสี่ยงต่อการแห้งกร้าน อะโวคาโดพอกหน้าให้เตรียมวัตถุดิบดังนี้ เนื้ออะโวคาโด 2 ผล / น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา / น้ำมะนาว 1 ช้อนชา นำเนื้ออะโวคาโดใส่ลงในเครื่องปั่นแล้วตามด้วยน้ำผึ้งและน้ำมะนาว ปั่นรวมกันจนเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมที่มีลักษณะข้น แล้วนำมาใส่ถ้วยที่เตรียมไว้ นำส่วนผสมที่ได้มาพอกให้ทั่วหน้า ยกเว้นบริเวณขอบตาและริมฝีปาก แล้วทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ระหว่างที่รอไม่ควรขยับใบหน้า หรือยิ้มแสดงอารมณ์เพราะอาจจะทำให้เกิดรอยย่นหรือรอยพับบริเวณใบหน้าได้ หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่นและคลีนเซอร์ เมื่อเสร็จแล้วให้เช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์แล้วบำรุงด้วยมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ หรือจะใช้เดย์ครีมหรือไนท์ครีมก็ได้ตามปกติ ทำติดต่อกันเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งจะช่วยทำให้ผิวสดชื่นไม่แห้งกร้าน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ตากแดดตากลมเป็นประจำอย่างมาก

สูตรสำหรับผิวแห้ง ให้เตรียมวัตถุดิบดังนี้ ไข่แดง 1 ฟอง / เนื้ออะโวคาโดบดละเอียด ครึ่งลูก นำไข่แดงมาตีให้เข้ากันแล้วตามด้วยเนื้ออะโวคาโด คนจนเข้ากัน หรือจะใช้เครื่องปั่นก็ได้ ล้างหน้าให้สะอาดแล้วก็นำส่วนผสมที่ได้มาพอกหน้าให้ทั่ว แล้วทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่นและเช็ดหน้าให้แห้ง หลังจากนั้นให้ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นอีกครั้งผลที่ได้จะทำให้ผิวหน้าสดใสดูมีชีวิติชีวามากขึ้น และทำให้ผิวเรียบเนียนยิ่งขึ้นอีกด้วย

สูตรสำหรับผิวมัน ขั้นตอนแรกให้เตรียมวัตถุดิบดังนี้ เนื้ออะโวคาโด ครึ่งลูก / ไข่ขาว 1 ฟอง / น้ำมะนาว 1 ช้อนชา นำส่วนผสมที่เตรียมไว้มาปั่นรวมกันในเครื่องปั่น จนเนื้อเข้ากัน ล้างหน้าให้สะอาดแล้วนำส่วนผสมที่ได้มาพอกหน้าหรือลำคอก็ได้ พอกทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ เพียงแค่นี้ก็จะช่วยทำให้ผิวหน้าของคุณปราศจากความมันได้แล้ว

สูตรบำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื้น ขั้นตอนแรกให้ทำตามสูตรสำหรับผิวมันให้เสร็จ หลังจากนั้นให้เตรียมวัตถุดิบดังนี้ เปลือกอะโวคาโด ครึ่งลูก เพราะเปลือกนั้นจะอุดมไปด้วยน้ำมันที่มีประโยชน์อย่างมาก เพราะมีสารห่อหุ้มความชุ่มชื้นที่จะช่วยทำให้ผิวหน้ารู้สึกสดชื่น ให้นำเปลือกอะโวคาโดที่เตรียมไว้มาถูและนวดบนใบหน้าในแนวขึ้น ทิ้งให้น้ำมันจากเปลือกอะโวคาโดซึมเข้าสู่ผิวประมาณ 15 นาที เมื่อครบเวลาแล้วให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่น เป็นอันเสร็จ แต่หากทำก่อนเข้านอนสามารถทาทิ้งไว้ได้ตลอดคืนโดยไม่ต้องล้างออก

ฝักเพกา





ฝักเพกา

ชื่อวิทยาศาสตร์ Oroxylum indicum(L.) Vent ฝักอ่อนของเพกาเป็นผักพื้นบ้านชนิดหนึ่ง ยังพอหาได้ตลาดสดในหลายๆจังหวัด ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากเพกาสามารถขึ้นได้ตามที่รกร้างทั่วไป สามารถเจริญได้ดีในดินแทบทุกชนิด ฝักอ่อนของเพกาที่ยังไม่แข็ง มีรสขมร้อน นิยมรับประทานเป็นผัก แต่อาจจะต้องนำไปเผาไฟให้ไหม้เกรียม แล้วขูดเอาผิวที่ไหม้ไฟออก นำไปหั่นเป็นฝอยแล้วคั้นน้ำทิ้งหลายๆครั้ง หลังจากนั้นนำไปปรุงเป็นอาหาร เช่นผัดหรือแกง หรืออาจรับประทาน เป็นผักแกล้มลาบ ก้อย ยำ บางรายก็รับประทานเป็นผักสดๆ หรือลวกกินกับน้ำพริก ยอดอ่อนและดอกเพกานั้น สามารถรับประทานเป็นผักจิ้มน้ำพริกได้เช่นเดียวกัน

ส่วนฝักที่แก่แล้วของเพกาจะแตกออกแล้วมีเมล็ดที่มีปีกบางๆสีขาว ปลิวลอยล่องไปตามลมสวยงามมาก เมล็ดของเพกาเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่อยู่ในน้ำจับเลี้ยง เป็นยาเย็น มีฤทธิ์แก้ไอ ขับเสมหะ เพกา จัดเป็นสมุนไพรที่หมอยาพื้นบ้านใช้มากชนิดหนึ่ง ทั้งในส่วนของใบ เปลือก ราก

-ใบของเพกาเป็นยาเย็น เป็นส่วนประกอบสำคัญของยาเขียว โดยใบมีสรรพคุณฝาดขม ต้มน้ำดื่ม แก้ปวดข้อ แก้ปวดท้อง เจริญอาหาร -รากมีรสฝาดขม เป็นยาแก้ท้องร่วง ฝนกับน้ำปูนใสทาแก้อักเสบฟกบวม 

-เปลือกต้นรสขมเย็น เป็นยาฝาดสมาน ดับพิษโลหิต ดับพิษกาฬ แก้น้ำเหลืองเสีย ป่นเป็นผงหรือชงกินกับน้ำ ใช้ขับเหงื่อ แก้ไขข้ออักเสบเฉียบเฉียบพลัน เป็นยาขมเจริญอาหาร ต้มกินแก้เสมหะจุกคอ ขับเสมหะ ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ บำรุงโลหิต แก้บิด แก้จุกเสียด ฝนกับสุรากวาดปากเด็ก แก้พิษซาง แก้ละออง ใช้ทาแก้ปวดฝี แก้ฟกบวม ผงเปลือกผสมขมิ้นชันเป็นเป็นยาแก้ปวดหลังของม้า

แต่การใช้ประโยชน์ของฝักเพกาอ่อนบางอย่างไม่ค่อยได้รับการเปิดเผยมากนัก คือ มีหมอยาพื้นบ้านเล่าว่า เพกานั้นเป็นยาโป๊วที่ไม่เป็นสองรองใคร สามารถใช้ได้ทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ซึ่งตามศาสตร์ตะวันออกแล้วก็มีความเป็นไปได้ เพราะเพกามีรสขมร้อน และยังมีรายงานทางเภสัชวิทยาพบว่าเพกามีฤทธิ์ลดคอเลสเตอรอล ซึ่งการที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลนั้นก็จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น อะไรๆมันก็ดีขึ้นเอง และรายงานการศึกษาที่น่าสนใจอีกชิ้นหนึ่งคือ มีการวิจัยผักพื้นบ้านไทย ของคุณเกศินี ตระกูลทิวากร จากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อที่จะดูว่าผักพื้นบ้านชนิดใดบ้าง ที่มีคุณสมบัติในการต้าน การก่อมะเร็งจากผักทั้งหมด 48 ชนิด เพกาเป็นผัก 1 ใน 4 ชนิดที่มีฤทธิ์ต้านการก่อมะเร็งสูงสุด ซึ่งไม่น่าเป็นที่แปลกใจเลย

เนื่องจากในฝักเพกามีวิตามินซีสูงมาก สูงถึง 484 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม ในขณะที่มะนาว (แหล่งวิตามินซีที่ฝรั่งรู้จัก) มีเพียง 20 มิลลิกรัม นอกจากนี้ฝักเพกายังมีวิตามินเอ 8221 มิลลิกรัมใน 100 กรัมพอๆกับตำลึงทีเดียว ถ้าเรามองหาพืชผักที่ต่อต้านอนุมูลอิสระที่คอยทำลายเซลล์ของร่างกาย ทำให้เซลล์เกิดความไม่สมดุลย์จนเกิดกลายเป็นมะเร็ง จนเกิดการแก่ชราก่อนกำหนด ดูเหมือนเพกาจะเป็นสมุนไพรที่เหมาะที่สุดที่จะปกป้องเซลล์ของคนเราจากอนุมูลอิสระเพราะมีทั้งวิตามินเอและวิตามินซีในปริมาณสูง ซึ่งวิตามินทั้งสองจะทำงานร่วมกับ วิตามินอี ที่มีในรำข้าว ในข้าวกล้อง ส่วนเซเลเนียม มีมากในข้าว กระเทียม หอมใหญ่ หอม มะเขือเทศ จมูกข้าวสาลี และอาหารทะเล ดังนั้นถ้ากินยำฝักเพกา (อาหารเหนือ) กับข้าวกล้องก็ถือว่าสมบูรณ์แบบ ยำฝักเพกา มีส่วนประกอบดังนี้ ฝักเพกา 1 ฝัก พริกสด 3 เม็ด ขิง 3 ซ.ม. ข่า 1 แว่น กระเทียม 4 กลีบ ปลาร้า 1 ช้อนโต๊ะ นำฝักเพกามาเผาไฟให้สุก ห่อด้วยใบตอง ใช้เวลาเผาประมาณ 15 นาที ขูดเอาผิวออก หั่นตามขวางเป็นชิ้นเล็กๆ โขลกพริกขิงข่า กระเทียม ให้ละเอียด ปลาร้า ต้มสุกเหลือน้ำประมาณ 5-6 ช้อนโต๊ะ จากนั้นนำเครื่องยำและเพกามาคลุกให้เข้ากันนำยำ และนำยำเพกามารับประทานกับข้าวกล้อง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องกินอาหารเสริมต้านมะเร็งตัวไหนๆอีกแล้ว แบบว่า กินเป็นก็ลืมป่วยไปเลย

มะขามเทศ


มะขามเทศ

               มะขามเทศ (Manila Tamarind) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Pithecellobium Dulce ผลไม้ท้องถิ่นในบ้านเราที่เห็นปลูกกันอยู่ทั่วไปตามต่างจังหวัด มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมอย่างมาก และไม่ค่อยมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหรือแมลงศัตรูแต่อย่างใด แหล่งเพาะปลูกที่สำคัญนั้นจะอยู่ที่อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี โดยเป็นผลไม้ที่มีรูปทรงฝังโค้งเป็นวงกลม ให้รสชาติออกหวานมัน ผสมรสฝาดนิดๆ ขายกันอยู่ประมาณกิโลกรัมละ 30-40 บาท ถ้าขึ้นห้างฝักใหญ่ๆก็กิโลกรัมละเป็นร้อยเลยทีเดียว

ประโยชน์ของมะขามเทศ

               1.มะขามเทศ ประโยชน์ของมะขามเทศมีวิตามินเอ ซึ่งมีส่วนช่วยในเรื่องการมองเห็น
               2.มะขามเทศมีวิตามินซีสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในเรื่องการบำรุงผิว และเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ
               3.มะขามเทศมีวิตามินอีสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัย มะขามเทศมีวิตามินบี1 ซึ่งช่วยในการบำรุงประสาทและสมอง
              4.มะขามเทศมีวิตามินบี2 ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม
              5.มะขามเทศมีวิตามินบี 3 (ไนอะซิน) ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอล
              6.มะขามเทศเป็นผลไม้ที่มีแคลเซียมสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างกระดูกและฟัน
              7.มะขามเทศมีฟอสฟอรัส ซึ่งมีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย
             8.มะขามเทศมีธาตุเหล็ก ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องกันอาการอ่อนเพลียของร่างกาย สามารถนำมาทำเป็นสมุนไพรพอกหน้าได้อีกด้วย ด้วยการนำใช้ฝักมะขามเทศที่แก่จัดแล้ว นำมาโขลกเอาแต่น้ำมะขามเทศแล้วนำมาผสมกับน้ำมะขาวและไข่ขาว คนให้เข้ากันจนเป็นครีมเหนียวได้ที่ แล้วนำมา พอกหน้า
             9.มะขามเทศสามารถนำมาประกอบเป็นอาหารได้ เช่น แกงส้ม เป็นต้น ดอกและใบอ่อนของมะขามเทศ สามารถนำมารับประทานเป็นอาหารได้
            10.มะขามเทศสามารถนำมาใช้ทำยาย้อมผม หรือยาสระผมได้ ใช้นำมาทำเป็นยาย้อมผ้า แห อวน จากน้ำฝากสีดำของมะขามเทศ เนื้อไม้ของต้นมะขามเทศ สามารถนำมาใช้ทำเป็นเขียงที่มีคุณภาพสูงได้ เพราะเนื้อไม้จะค่อนข้างเหนียวทนทาน เนื้อไม้ที่นำมาต้มกับน้ำนำมาใช้กับสตรีหลังคลอด น้ำที่ต้มแล้วนำมาใช้อาบหรืออบไอน้ำได้ ในประเทศอินเดียนิยมนำมาเล็ดมาป่นให้ละเอียดแล้วต้มกับผ้าจะทำให้ผ้าแข็ง เหมือนกับการลงแป้ง

สรรพคุณมะขามเทศ 
               ในการเป็นยาสมุนไพร ก็คือมีส่วนช่วยในการรักษาโรคโลหิตจาง ใช้นำมาปรุงเป็นยาแก้ไอได้ เนื้อไม้เมื่อนำมาต้มผสมกับหัวหอมใช้โกรกศีรษะเด็กในยามเช้ามืด จะช่วยแก้หวัดจมูกได้ ช่วยในการขับเสมหะในลำไส้ ช่วยในการสมานแผลห้ามเลือก ด้วยการนำเปลือกมาต้มกับน้ำเอาน้ำฝาดมาใช้กับบาดแผล ช่วยรักษาโรคปากเปื่อยหรือโรคปากนกกระจอกเทศ ด้วยการนำเปลือกต้นมะขามเทศ โดยเอาเปลือกชั้นนอกออกเหลือแต่เปลือกชั้นในประมาณ 15 กรัม เกลือป่นอีก 1 ช้อนชา แล้วนำมาต้มกับน้ำกะปริมาณพอท่วมยาเล็กน้อยจนน้ำเดือด รอจนน้ำอุ่นแล้วนำมาอมหลังจากแปรงฟันทุกครั้งจะทำให้แผลในปากค่อยๆบรรเทาทุเลาลงได้ ช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน โดยใช้เปลือกต้มกับน้ำรวมกับเปลือกข่อยและเกลือแกง แล้วนำมาอมแก้ปวดฟัน เปลือกต้นมะขามเทศ ก็ช่วยป้องกันโรคฟันผุได้ มะขามเทศช่วยในการขับถ่าย และช่วยลดปัญหาของอาการท้องผูกอีกด้วย เพราะมีเส้นใยในปริมาณมาก เมล็ดแก่ของมะขามเทศ เมื่อนำมาคั่วแล้วกะเทาะเปลือก (ประมาณ 30 เม็ด) แล้วนำไปแช่น้ำเกลืออ่อน แล้วนำมารับประทานเป็นยาถ่ายพยาธิไส้เดือนในท้องเด็กได้ด้วย ส่วนเปลือกนอกนั้นก็นำมากินแก้ท้องร่วง และแก้อาเจียนได้อีกเช่นกัน ช่วยรักษาโรคบิด ประโยชน์มะขามเทศข้อสุดท้ายก็คือการเปลือกของต้นที่นำมาต้มกับน้ำ สามารถนำมาปรุงเป็นยาแก้ท้องร่วงได้